วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

ระบอบประชาธิปไตย

ระบอบประชาธิปไตย
คือ ระบอบการปกครองตนเองของประชาชน โดยผ่านการเลือกสมาชิกผู้แทนราษฎรไปบริหารและดูแลเรื่องกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่และโดยการตรวจสอบควบคุมดูแลของประชาชนโดยตรงหรือการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน เช่น การยื่นเสนอหรือแก้ไขกฎหมาย การยื่นถอดถอนนักการเมืองที่ประพฤติมิชอบ การแสดงความคิดในการทำประชาพิจารณ์ การออกเสียงในการทำประชามติ  

หลักการของระบอบประชาธิปไตย
         
 1. อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรือบางทีก็เรียกกันว่า อำนาจของรัฐ (state power) เป็นอำนาจที่มาจากปวงชน และผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
          2. 
ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้งตัวแทนเพื่อไปใช้สิทธิใช้เสียงแทนตน เช่น การเลือก สส. หรือ สว. โดยมีการกำหนดวันเลือกตั้งและมีวาระการดำรงตำแหน่ง เช่น ทุก 4 ปี หรือ 6 ปีเป็นต้น
          3. 
รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน อาทิ สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิต เสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น การชุมนุม โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเล่านี้
เว้นแต่เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อรักษาศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
          4. 
ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการที่จะได้รับบริการทุกชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน เช่น สิทธิในการ ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
          5. 
รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐานในการปกครอง และในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ระหว่างกลุ่มชน รวมทั้งจะต้องไม่ออกกฎหมายที่มีผลเป็นการลงโทษบุคคลย้อนหลัง


ปัญหาสำคัญทางการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน
สภาพปัญหาทางการเมืองการปกครองในปัจจุบันจะต้องมีการแก้ไขปัญหาทางการเมือง
การปกครองอย่างเร่งด่วน   นับตั้งแต่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย  จนถึงปัจจุบันได้พัฒนาในทางที่ดีขึ้น  แต่เป็นเพียงรูปแบบเท่านั้น เพราะเห็นได้โดยหลัก    ประการที่ยังปฏิบัติไม่สมบูรณ์ คือ  ๑.  ทางการเมืองประชาชนยังไม่มีสิทธิ์มีเสียงมากนัก  ๒.  ทางด้านเศรษฐกิจประชาชนก็ถูกลิดรอนจากรัฐบาล  รวมทั้งกลุ่มอิทธิพล  เช่น  การยึดที่ดินที่เดิมเป็นของประชาชนแต่เดิมให้เป็นป่า  ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนและขาดรายได้  ๓.  ด้านสังคมที่เกิดความไม่เท่าเทียมกันยึดเอาคนที่มีเงินที่ยศเป็นบุคคลที่สูง



สถานการณ์การเมืองการปกครองของสังคมไทย
1.ประเทศ ไทยสามารถปรับสถานการณ์ด้านต่างๆของประเทศให้สอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งพยายามพึ่งพาตนเองในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้มากที่สุดด้วยการน้อมนำ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทานให้ มาใช้ในการพัฒนาและแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม เช่น การทำเกษตรแบบยั่งยืน เป็นต้น
 2.ประเทศไทยไม่มีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างเชื้อชาติหรือกลุ่มต่างศาสนาเหมือนกับในยูโกสลาเวีย (ในอดีต) และเลบานอน เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ลบหลู่ศาสนาอื่น มีจิตใจเอื้ออารีต่อคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยหรือทำมาหากินในประเทศไทยเสมอ จึงทำให้คนทุกเชื้อชาติทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
 3.ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นทั้งเอกลักษณ์ของชาติและศูนย์รวมแห่งความสามัคคีของคนในชาติ องค์พระมหากษัตริย์ของไทยทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก และทรงห่วงใยชนชาวไยทุกหมู่เหล่าทุกภูมิภาค จึงทำให้พระองค์ทรงเป็นที่เคารพสักการะและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ

4.ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการปฏิรูปการเมืองไทยทั้งระบบให้เป็นการเมืองของพลเมืองโดยได้จัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเป็นผลสำเร็จ และประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญทุกฉบับก็ได้บัญญัติหลักการและสาระสำคัญที่สอดคล้องกับหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตย และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง